หากว่ากันด้วยเรื่องของอาชีพในฝันของเรานั้น มีมากมายหลายแบบกันเลยหล่ะครับ แต่หนึ่งในอาชีพที่ทุกคนที่มีจินตนาการดีเลิศ สามารถสร้างเรื่องราวในแบบฉบับของตนเองได้ มักจะเลือกเดินเส้นทางนี้กันนั้นก็คือ “นักเขียน” นั้นเองครับ วันนี้เราเลยอยากจะมาปูพื้นฐานเกี่ยวกับ “การเขียนนิยาย” กันสักหน่อยกับ “4 หลักการเริ่มต้นเขียนนิยาย” จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น…เราไปชมกันดีกว่าครับผม นวนิยาย คืออะไร? นิยาย หรือ นิยาย เป็นรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรมลายลักษณ์ แต่งในรูปของร้อยแก้ว มีลักษณะแตกต่างจากเรื่องแต่งแบบเดิม ที่เรียกว่านิทาน นว มีความหมายว่า “ใหม่”

ความสนุกของคนเรานั้น มีมากมายหลายรูปแบบที่น่าสนใจให้เราแต่ละคนได้หาความสนุกเพลิดเพลินให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลงหรือแม้กระทั้งการ “อ่านนิยาย” ก็เป็นทีทางเลือกแห่งความสนุกที่น่าสนใจมากๆ เลยหล่ะครับ วันนี้เราเลยอยากจะพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “แนะนำ 4 นิยายแนวไซไฟ-แฟนตาซีที่น่าสนใจ” ที่น่าสนใจกันครับ จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น…เราไปชมกันเล้ยย!!! นิยายไซ–ไฟ แฟนตาซี คืออะไร? นิยายแฟนตาซีเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่งที่แต่งขึ้นตามจินตนาการ ส่วนใหญ่มักจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกสมมติที่มีความเหนือธรรมชาติและแตกต่างจากโลกความเป็นจริง โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับ เช่น โลกเวทมนตร์ที่มีพ่อมดแม่มดขี่ไม้กวาดบินได้ เป็นต้น ซึ่งนิยายแฟนตาซีส่วนใหญ่ที่เราคุ้นเคยมักจะกำเนิดขึ้นในยุคกลางของยุโรปที่เล่าถึงเวทมนตร์

เคยสงสัยกันบ้างมั้ยหล่ะครับ ว่าคนที่เรียนเก่งๆ นั้น…เค้าอ่านหนังสือกันอย่างไรให้จำได้ดีกันได้อย่างไร วันนี้เราเลยอยากจะขอมาพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “4 วิธีการอ่านหนังสือให้ได้ประสิทธิภาพสูง” กันครับ จะต้องทำอย่างไรเตรียมตัวแบบไหนกันบ้างนั้น…เราไปชมกันดีกว่าครับผม การอ่านสำคัญอย่างไร?     การอ่าน มีความสำคัญทั้งด้านการศึกษา การงานและชีวิตส่วนตัว ผู้อ่านที่ดีควรตั้งวัตถุประสงค์ในการอ่านให้ชัดเจน เข้าใจกระบวนการอ่าน เพราะการอ่านมิใช่แต่เพียงเข้าใจความหมายของคำ อ่านคำถูก ออกเสียงได้ถูกต้องเท่านั้น แต่การอ่านสามารถ ทำให้ผู้อ่านประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียน การทำงาน สามารถนำสิ่งที่ได้รับจากการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาตนเอง และประเทศชาติต่อไป การอ่านนั้นมิใช่เป็นพรสวรรค์ แต่เกิดจากการฝึกฝนและการเรียนรู้

หากว่ากันด้วยเรื่องของนิยายแล้วนั้น มีหลากหลายเรื่องราวที่มีทั้งความสนุก เศร้า ตื่นเต้นและหวาดกลัว คละเคล้ากันไป จึงทำให้การอ่านนิยายเป็นไรที่น่าติดตามค้นหาถึงแม้จะไม่มีภาพมีเสียงบรรยายแต่การอ่านจะช่วยสร้างเรื่องราวบริบทภายในหัวของเราได้ตื่นเต้นไปกับจินตนาการเหล่านั้น วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “4 แนวนวนิยายที่ใครๆ ต่างหลงใหล่” กันครับ จะมีแนวไหนบ้างนั้น…เราไปชมกันเล้ยย!!! นิยายคืออะไร? นิยายคืองานเขียนเชิงร้อยแก้ว ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวบกับประสบการณ์ของมนุษย์ ตัวเรื่องมีความยาวและความซับซ้อน เล่าผ่านเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกัน เรื่องราวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลในสภาพแวดล้อม (ฉาก สถานที่ และเวลา) โดยประเภทของนิยายมีรูปแบบที่หลากหลาย นิยายถือเป็นศาสตร์และศิลปะ ที่ต้องใช้ความชำนาญในการฝึกฝน

หากจะกล่าวถึงนิยายชื่อดังที่สั่นคลอนทั้งวงการหนังสือนิยายและภาพยนตร์ในระดับสากลโลกแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักนิยายชุด “Harry Potter” กันอย่างแน่นอนเลยใช่มั้ยหล่ะครับ ผู้แต่งของนิยายชื่อดังชุดนี้คือหญิงสาวนามว่า “เจ.เค. โรล์ลิง (J. K. Rowling)” ซึ่งเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านการเขียนเป็นอย่างมาก ในขณะที่บทสรุปของ “Harry Potter” ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดนั้น ทั่วโลกต่างพากันรอคอยวันที่หนังสือเล่มถัดๆ ไปวางแผงกันอย่างบ้าคลั่งเลยหล่ะครับ วันนี้เราจึงอยากพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับนักเขียนชื่อดังท่านนี้กันครับ ประวัติของนักเขียนชื่อดัง “เจ.เค. โรล์ลิง (J. K. Rowling)”

หากว่ากันด้วยเรื่องของการสร้างรายได้ ในปัจจุบันมีช่องทางการทำเงินหรือสร้างรายได้มากมายทางออนไลน์หลายรูปแบบ ที่มากกมายงานประจำ  เช่น การขายของออนไลน์ การขายขนม ขายของมือสอง วาดรูปทำ NFT หรือแม้กระทั้งการเขียนนิยายขายให้กับสำนักพิมพ์หรือ Application แพลตฟอร์มต่างๆ ได้อีกด้วย วันนี้เราจึงอยาขอเสนอช่องทางการสร้างรายได้จาก “การเขียนนิยาย” ว่าต้องเขียนอย่างไรจึงจะขายได้ แล้ววางขายช่องทางใดได้บ้าง มาฝากท่านผู้อ่านกันครับ องค์ประกอบที่สำคัญของการเขียนนิยาย หลักการเขียนนิยายให้อ่านสนุกและเข้าถึงได้ง่าย มีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ ●พล็อตเรื่องหรือโครงเรื่อง พล็อต คือ “โครงเรื่อง”

“นิยาย” ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งที่สื่อจินตนาการจากหัวของผู้เขียนออกสู่โลกภายนอก มีมากมายหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวเกี่ยววกับเวทย์มนต์ ความรัก การใช้ชีวิต การผจญภัย การท่องเที่ยว เรื่องลี้ลับหรือแม้กระทั้งเกี่ยวออกสู่อวกาศ ซึ่งล้วนแล้วแต่ผู้เขียนจะสื่อเรื่องราวออกมานั้นเอง ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า การมีนิยายเป็นของตนเองสักหนึ่งเรื่อง จะเป็นอะไรที่น่าภาคภูมิใจแถมหากติดตลาดและเป็นที่ต้องตานักสร้างภาพยนตร์ซีรี่ส์ด้วยแล้วหล่ะก็…อาจสร้างรายได้ให้คุณได้อย่างมหาศาลเลยหล่ะครับ แต่จะมีสักที่ท่านที่ทราบคำนิยามของคำว่า “นิยาย” ว่าหมายถึงอะไร? แล้วพื้นฐานที่ต้องการมีอะไรบ้าง? วันนี้เราจะพาทุกๆ ท่านไปหาคำตอบกันครับ นิยายคืออะไร? “นิยาย” หรือ “นวนิยาย” หมายถึง เรื่องเล่าจากจินตนาการ

การอ่านถือว่าเป็นการหาความรู้ที่ง่ายที่สุดอีกอย่างหนึ่ง รองลงมาจากการฟัง ทุกคนต้องเคยอ่านหนังสือกันมาบ้างแล้ว จะมากจะน้อยก็ตามแต่ และเชื่อว่าทุกคนต่างมีหนังสือเล่นมโปรดของตัวเองทั้งนั้น จะเป็นหนังสืออะไร มันก็มีประโยชน์ทั้งหมด ถ้าหากว่าเรารู้จักแสวงหาสิ่งที่อยู่ในหนังสือ จะเป็นการ์ตูน หรือนิยายก็๖ม มันก็ล้วนมีข้อคิดบางอย่างอยู่ในนั้นเสมอ และพื้นฐานของคนที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น ก็ล้วนมีพื้นฐานมาจากนิสัยรักการอ่านทุกคน ยิ่งรู้ตัวเองว่าไม่รู้อะไร เราก็ต้องยิ่งอ่านมากขึ้นเท่านั้น เพราะคนเราต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิตเลยทีเดียว ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรียนยรู้ และเมื่อไหร่ที่เราหยุดการเรียนรู้ ไม่แสวงหาเพิ่มเติม เมื่อนั้นเราก็จะไม่ทันใคร ก็จะอยู่แต่ขจุดเดิม และเราก็มีเทคนิคดีๆ มาฝากคนที่อยากอ่านหนังสือ ว่าควรจะอ่านอย่างไร ไม่ให้น่าเบื่อ

การอ่านหนังสือ เป็นสิ่งที่มีทั้งคนที่ชื่นชอบ หรือรักการอ่าน แต่ก็มีบางคนเหมือนกัน ที่ไม่ชอบการอ่านหนังสือ เพราะมันน่าเบื่อ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ตัวหนังสือเต็มไปหมด และยิ่งถ้าเป็นหนังสือที่มันเป็นความรู้ หรือว่าสาระต่างๆ น้อยคนมากที่จะอ่าน เพราะมันน่าเบื่อ และอ่านยากมาก เข้าใจยาก ทำให้คนไทยเป็นประเทศที่คนอ่านหนังสือน้อย โดยเฉพาะเด็กในยุคนี้ จะไม่ค่อยนิยมการอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ จนร้านหนังสอบางแห่งต้องปิดจตัวลง เพราะไม่มีคนเข้านั่นเอง คนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ หันมาให้ความสำคัญในเรื่องของโซเชียลมีเดียกันมากกว่า เลยมองไม่เห็นประโยชน์ของการอ่านหนังสือเท่าไหร่ วันๆ เอาแต่จ้องโทรศัพท์อย่างเดียว ทำให้ผลกระทบตามมาก็คือ

หนังสือมันก็มีรหลายประเภท หลายแนวเหมือนกัน มีทั้งปบบที่เข้าใจได้ง่าย อย่างเช่นหนังสือที่มันเป็นการ์ตูน และหนังสือที่มันเข้าใจได้ยาก อย่างเช่นหนังสือเรียนบางเล่ม และหนังสือที่มันเกี่ยวกับเทคนิคลึกๆ บางอย่าง ที่มันต้องอาศัยความพยายาม และความเข้าใจอย่างมาก จึงจะสามารถเข้าใจได้ แต่บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น พอเห็นว่าอะไรที่มันยากเกินจะเข้าใจ ก็เลิกไม่อ่านทันที ทำให้ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการรู้ได้ ซึ่งแบบนี้ไม่ดีแน่นอน อย่างเช่นหนังสือเรียนก็เหมือนกัน ถ้าไม่สามารถทำความเข้าใจในจุดที่มันยากๆ ได้ เราก็ไม่สามารถสอบผ่านได้เหมือนกัน มันจึงต้องมีวิธีแก้ตรงจุดนี้ ว่าเราจะทำอย่างไร ให้เราสามารรถอ่านหนังสือยากๆ และสามารถเข้าใจเนื้อหาตรงจุดนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามากเกินไปนัก